สำหรับเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญๆ ในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๐๖ ดังนี้
- ยกระดับอัตราการเพิ่มของรายได้ประเทศจากร้อยละ ๔ เป็นร้อยละ ๕ ต่อปี และรายได้เฉลี่ยต่อบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓ต่อปี (ซึ่งเดิมเพิ่มไม่ถึงร้อยละ ๒ ต่อปี) และเพิ่มมูลค่าผลิตผลทางการเกษตรร้อยละ ๓ ต่อปี และทางอุตสาหกรรมและเหมืองแร่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒ ต่อปี
- เพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออกและสินค้านำเข้าเฉลี่ยร้อยละ ๔ ต่อปี
- เพิ่มการผลิตพลังงานไฟฟ้าจาก ๑๓๘,๐๐๐ กิโลวัตต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็น ๓๗๐,๐๐๐ กิโลวัตต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖
- ก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินใหม่ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร และปรับปรุงถนนที่มีอยู่ให้ได้มาตรฐาน ๑,๐๐๐ กิโลเมตร ฯลฯ
ในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้มีการระบุอย่างชัดเจนในแผนพัฒนาฯ ว่า จะเร่งก่อสร้างเขื่อนภูมิพลให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และเร่งปรับปรุงพัฒนาระบบการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในพระนคร ธนบุรี และจังหวัดใกล้เคียง เร่งก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินในจังหวัดสำคัญๆ ขยายการผลิตน้ำประปาในกรุงเทพฯ เร่งขยายโทรศัพท์ขึ้นอีก ๒๐,๕๐๐ เลขหมาย โดยได้มีการกำหนดงบพัฒนา (ซึ่งมาจากงบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ และเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ) จำนวนมากและมีสัดส่วนสูงสำหรับการพัฒนาสาขาคมนาคมและขนส่ง สาขาพลังงาน และสาขาการเกษตรและสหกรณ์ ในวนของสาธารณสุขได้กำหนดเป้าหมายที่จะสร้างโรงพยาบาลภาคเพิ่มขึ้น ๒ แห่ง โรงพยาบาลอำเภอ ๖ แห่ง พัฒนาสถานีอนามัยชั้น ๒ เป็นชั้น ๑ ปีละไม่ต่ำกว่า ๑๐ แห่ง รวมทั้งเร่งการผลิตแพทย์และพยาบาลเพิ่มขึ้น และเน้นเรื่องการป้องกันและปราบปรามโรคติดต่อสำหรับด้านการศึกษาได้มีการระบุไว้ในแผนว่าจะส่งเสริมการอาชีวศึกษาเป็นพิเศษ ส่วนรายละเอียดแผนงานโครงการได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ให้เป็นหน้าที่ของสภาการศึกษาแห่งชาติ
![]() |
ภาพหุ่นจำลองของเขื่อนภูมิพลซึ่งเป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของประเทศไทย มีการระบุที่จะเร่งสร้างให้แล้วเสร็จในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑ |
ผลการดำเนินการในช่วงแรกของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑ ปรากฏว่าเป็นไปด้วยดี โดยเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ ๖.๔ ต่อปี สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ รายได้ต่อบุคคลเพิ่มสูงกว่าเป้าหมาย ในขณะที่การพัฒนาบริการพื้นฐานต่างๆ เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นกิจการต่างๆ ให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออก และกิจการด้านการเงินการธนาคาร ดังนั้น จึงได้มีการปรับปรุงเป้าหมายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑ ระยะที่ ๒ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น
- ยกระดับอัตราเพิ่มรายได้เป็นร้อยละ ๖ ต่อปปี และรายได้เฉลี่ยต่อบุคคลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๓ ต่อปี
- ให้การสะสมทุนเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ ๑๙ของรายได้ประชาชาติ
- ปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้มีความมั่นคง โดยกระจายการผลิตในกิจกรรมประเภทต่างๆ ให้กว้างขวางขึ้น
และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเพื่อลดปัญหาด้านการกระจายรายได้และความยากจน
- ขยายขอบเขตโครงการพัฒนาจากเดิมที่จำกัดเฉพาะภาครัฐบาลกลาง ให้ครอบคลุมภาครัฐวิสาหกิจและส่วนท้องถิ่น
ผลการดำเนินการปรากฏว่า ส่วนใหญ่สูงกว่าที่กำหนดไว้ในแผน เช่น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๐๙) เฉลี่ยปีละ ๘.๑ ต่อปี รายได้เฉลี่ยต่อบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๑ ต่อปี ผลิตผลด้านการเกษตรและด้านอุตสาหกรรมขยายตัวถึงร้อยละ ๖.๑ และ ๑๑.๒ ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น มีส่วนช่วยทดแทนการนำเข้าได้เป็นจำนวนมาก และทำให้โครงสร้างสินค้าเข้า-สินค้าออกเปลี่ยนไป เพราะเดิมก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๓ สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ ข้าว ยางพารา ไม้สัก และดีบุก ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ สินค้าส่งออกได้กระจายไปสู่พืชและสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น ส่วนการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคมีสัดส่วนลดลง โดยมูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง และสินค้าทุนเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมให้มีสัดส่วนสูงขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น