ฉบับที่ ๖

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๓๐ - ๒๕๓๔)


          ในช่วงของการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๖ ปรากฏว่า ประเทศไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลายประการ ซึ่งมีสาเหตุมาจากทั้งเหตุการณ์ภายนอกประเทศและภายในประเทศดังที่กล่าวแล้วในตอนต้น ดังนั้น ในการวางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๖ จึงมุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ การรักษาระดับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างต่ำร้อยละ ๕ ต่อปี เพื่อรองรับกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้น และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจควบคู่กับการเร่งพัฒนาสังคม โดยเร่งพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งการเสริมสร้างวัฒนธรรมและค่านิยมที่ดีงาม คือ ใช้ศาสนธรรมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาจิตใจโดยการเน้นเรื่องคุณธรรม ๔ ประการ ตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และค่านิยมพื้นฐาน ๕ ประการ เป็นหลัก ได้มีการกำหนดแนวทางที่สำคัญ ๓ แนวทางคือ ๑) การเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาประเทศ ๒) การปรับปรุงระบบการผลิต การตลาดและคุณภาพปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และ ๓) การกระจายรายได้และความเจริญไปสู่ภูมิภาคและชนบท โดยเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเพี่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่

          ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดแผนงานหลักรวม ๑๐ แผนงาน เพื่อสนับสนุนแนวทางดังกล่าวข้างต้นและให้ความสำคัญต่อการจัดทำแผนปฏิบัติการในรูปของแผนงานและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

          อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มมีการดำเนินการตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๖ ปรากฏว่า สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นเกิดคาด เช่น เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับนโยบายและมาตรการในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเงินการคลังของรัฐบาลบังเกิดผลในทางปฏิบัติทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วคือ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และ ๒๕๓๑ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๙.๕ และ ๑๓.๓  ตามลำดับ ปัญหาการว่างงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกลับกลายเป็นปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและช่างอุตสาหกรรม บริการพื้นฐานทางเศรษฐกิจขาดแคลน ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงมีการปรับปรุงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๖ ใหม่ โดยมี วัตถุประสงค์ที่สำคัญ ๒ ประการคือ

          - เร่งรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับสูง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
          - มุ่งให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจกระจายออกไปในภูมิภาคต่างๆ  อย่างต่อเนื่องและแก้ไขปัญหาการกระจายรายได้และ
ความยากจนของประชาชนทั้งนี้ ได้มีการกำหนดเป้าหมายที่สำคัญๆในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๕๓๔ ไว้ดังนี้
          - ให้เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ ๗.๕ต่อปี และรักษาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ให้เกินร้อยละ ๔ ของผลผลิตรวม
          - เร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยหาทางลดต้นทุนการผลิต ปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและขยายความสัมพันธ์กับต่างประเทศเพื่อขยายการส่งออก
          - เร่งพัฒนาระบบบริการพื้นฐาน โดยแยกเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนทางด้านการขนส่งทางน้ำและทางอากาศ และปู
พื้นฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาวให้เพียงพอกับความต้องการ
          - เร่งผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาที่เป็นความต้องการของตลาดแรงงานเช่น ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ช่างเทคนิค และครู-อาจารย์ในสาขาวิชาช่าง ฯลฯ

          ผลการพัฒนาในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๖  ปรากฏว่า ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจในหลายด้าน โดยเพาะอย่างยิ่ง การลงทุนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๒๐.๒ และเศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ ๑๐.๙ การส่งออกขยายตัวเฉลี่ยถึงร้อยละ ๒๕.๗ ต่อปี ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ทั้งนี้เป็นเพราะมีปัจจัยที่เอื้ออำนวยทั้งภายในและภายนอกประเทศ รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนต้นแผน ซึ่งสืบเนื่องมาจากการกำหนดให้ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และ ๒๕๓๑ เป็นปีท่องเที่ยวไทยและปีศิลปหัตถกรรมไทยตามลำดับ ฐานะการเงินการคลังของประเทศยังมีเสถียรภาพ การว่างงาน เหลือเพียงร้อยละ ๐.๖ ของกำลังแรงงาน ปัญหาหนี้สินต่างประเทศเริ่มผ่อนคลายลงคือ สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้จากการส่งออกลดจากร้อยละ  ๒๐.๖ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ เหลือร้อยละ ๑๐.๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ยร้อยละ ๕ ต่อปี
สินค้าหัตถกรรมไทยมีส่วนช่วยเสริมสร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชน 



          อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงมีปัญหาด้านความยากจนและความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ เพราะกลุ่มคนยากจน ๒๐ เปอร์เซนต์สุดท้าย มีสัดส่วนรายได้ลดลง การพัฒนาและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงรวมกันอยู่ในกรุงเทพฯ และในเมืองใหญ่ๆ


         นอกจากนี้ ช่องว่างระหว่างการออมกับการลงทุนยังขยายตัวเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๘.๕ ของผลิตผลรวม ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดปัญหาหนี้สินต่างประเทศ บริการพื้นฐานยังไม่เพียงพอคือมีลักษณะเป็นคอขวดซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขยายตัว และทวีความรุนแรงมากขึ้น พื้นที่ป่าไม้ลดลงจาก ๑๐๙.๕ ล้านไร่ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เหลือเพียง ๙๐ ล้านไร่ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ หรือไม่ถึงร้อยละ ๒๘ ของพื้นที่ประเทศ และการที่สังคมไทยเปลี่ยนจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง และสังคมอุตสาหกรรม มีผลกระทบต่อสภาพจิตใจและวัฒนธรรม ทำให้วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาอาชญากรรมและยาเสพย์ติดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนอกจากนี้ ระบบราชการและการบริหารด้านเศรษฐกิจยังปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น