ดังได้กล่าวข้างต้นแล้วว่า ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๖ - ๒๕๑๙ ได้เกิดปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้อ และการว่างงานอย่างกว้างขวาง รวมทั้งความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบกับสถานการณ์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ในการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๔ จึงได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการวางแผนพัฒนาใหม่จาก การวางแผนแบบการจัดสรรทรัพยากร (Allocative Plan)เป็น แผนแบบชี้ทิศทางหรือชี้นำ (Indicative Plan) ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและความคล่องตัว ซึ่งผู้บริหารและหน่วยปฏิบัติสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนงาน โครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปและทรัพยากรที่มีอยู่
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๔ มีจุดเน้น ๒ ประการ คือ
ประการแรก มุ่งที่จะเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้มั่นคงในช่วง ๒ ปีแรกของแผน ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งชะลออัตราเพิ่มของประชากรต่อไป
ประการที่ ๒ เร่งทำการฟื้นฟู บูรณะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป่าไม้ ที่ดิน แหล่งน้ำ และแร่ธาตุเพื่อให้เป็นรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว
สำหรับเป้าหมายที่สำคัญๆ ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๔ มีดังนี้
- ให้เศรษฐกิจขยายตัวโดยเฉลี่ยร้อยละ๗.๐ ต่อปี มูลค่าผลผลิตการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๐ ต่อปี และนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๗ ต่อปี
- ลดอัตราการเพิ่มของประชากรให้เหลือร้อยละ ๒.๑ ต่อปี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ซึ่งจะทำให้รายได้ต่อหัวเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ
๔.๖ ต่อปี
- ให้การลงทุนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๗.๒ต่อปี ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ๒.๒ ล้านคน
- รักษาระดับเงินเฟ้อ ไม่ให้สูงเกินร้อยละ๖.๐ ต่อปี
- เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยลดความเหลื่อมล้ำทางราย-
ได้และทางสังคม ฯลฯ
ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๔ ปรากฏว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย เพราะต้องพึ่งพิงแหล่งพลังงานจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ต้องใช้จ่ายเพื่อซื้อน้ำมัน วัตถุดิบ และเครื่องจักรเพิ่มขึ้นมาก ก่อให้เกิดการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละเกือบ ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลประมาณร้อยละ ๖.๓ ของผลิตผลรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เกิดปัญหาเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ ๑๑.๖ ต่อปี นอกจากนี้ยังเกิดวิกฤตการณ์ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน เช่น กรณีการล้มของบริษัทราชาเงินทุน เป็นต้น
![]() | |
|
อย่างไรก็ดี ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๔ ปรากฏว่า เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อย คือ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีสาขาที่เพิ่มสูงขึ้นคือ สาขาเหมืองแร่ ก่อสร้างคมนาคมขนส่ง และประปา ทั้งนี้เพราะรัฐทุ่มเทการลงทุนเป็นจำนวนมาก ส่วนสาขาที่ขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายคือ สาขาเกษตร ทั้งนี้เป็นเพราะความจำกัดของที่ดิน และความเสื่อมโทรมของที่ดิน แหล่งน้ำ ส่วนสาขาอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายเช่นกัน ทำให้เกิดปัญหาการว่างงานในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ถึง ๖๐๐,๐๐๐ คน และยังโยงไปถึงปัญหาความยากจนและการกระจายรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่อยู่ในสาขาเกษตรและที่อยู่ในชนบทที่ห่างไกล ผู้ที่อยู่ในสาขาเกษตกรซึ่งมีจำนวนมาก มีรายได้ต่ำกว่าผู้อยู่ในสาขาอุตสาหกรรมเกือบ ๕ เท่าตัวประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงหนือมีรายได้ต่างจากคนในกรุงเทพฯ เพิ่มจาก ๖.๙ เท่าตัว ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็น ๗.๕ เท่าตัว ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔
สำหรับการพัฒนาด้านสังคม ปรากฏว่า มีบางเรื่องทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้คือ สามารถลดอัตราการเพิ่มของประชาชนใน ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เหลือเพียงร้อยละ ๒.๒ ส่วนการพัฒนาด้านการศึกษาและสาธารณสุขยังคงมีปัญหาด้านคุณภาพของบริการ และยังไม่สามารถกระจายได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทที่ยากจนและห่างไกล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น